การเลือกที่นอน สำหรับผู้ป่วย หรือผู้สูงอายุติดเตียง
ที่นอนโฟม คือ ที่นอนที่ทำจากเนื้อโฟม ที่มีคุณสมบัติกระจายแรงกดทับ เหมาะกับผู้ป่วยที่ยังรู้สึกตัว และยังเคลื่อนไหวได้ สามารถใช้กับผู้ป่วยทั่วไป จนถึงผู้ป่วยที่เกิดแผลกดทับในระยะเริ่มต้น
ที่นอนลม คือ ที่นอนที่ทำจากเนื้อพลาสติก ออกแบบให้ขยับได้เพื่อลดแรงกดทับ เหมาะกับผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือผู้ป่วยที่เกิดแผลกดทับในระดับที่ 1-4 แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ที่นอนลมแบบลอน และแบบรังผึ้ง ซึ่งที่นอนลมแบบลอนจะบำรุงรักษาเปลี่ยนลอนได้ง่ายกว่า แต่ก็มีราคาที่สูงกว่าเช่นกัน
สำหรับการดูแลผู้ป่วยติดเตียง ” แผลกดทับ ” คงเป็นปัญหาอันดับต้นๆ ที่ทำให้ผู้ดูแลรู้สึกหนักใจ และหลายคนอาจจะเข้าใจว่าการเลือกใช้ ที่นอนป้องกันแผลกดทับ ควรใช้เป็น ที่นอนลม เท่านั้นที่สามารถช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ แต่ความจริงยังมีอีกหนึ่งตัวเลือกที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับของผู้ป่วยติดเตียงได้ในระดับสูง นอนสบาย และไม่ใช้ไฟฟ้า นั่นก็คือ ” ที่นอนโฟมป้องกันแผลกดทับ ” นั่นเอง
ที่นอนป้องกันแผลกดทับ มาตรฐานระดับสหราชอาณาจักร (UK) เป็นที่นอนโฟมป้องกันแผลกดทับนำเข้าจากประเทศอังกฤษ และได้พัฒนาสินค้าที่นอนที่มีวัตถุประสงค์ในการช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับโดยเฉพาะ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับได้ในระดับสูง
แผลกดทับ คือ บริเวณที่มีการตายของเซลล์และเนื้อเยื่อจากการขาดเลือด อันเป็นผลจาการถูกกดทับเป็นเวลานานๆ แผลกดทับมักจะเกิดบริเวณ เนื้อเยื่อที่อยู่เหนือปุ่มกระดูก เช่น บริเวณกระดูกก้นกบ กระดูกสะโพกตาตุ่ม แผลกดทับสามารถเกิดขึ้นได้กับบุคคลทุกวัย ผู้มีปัจจัยเสี่ยงโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ผู้สูงอายุที่มีชั้นไขมันใต้ผิวหนังบางลง ผิวหนังเปราะบางฉีกขาดได้ง่าย และบุคคลที่ต้องนอนพักอยู่บนเตียงนานมีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อย หรือนอนติดเตียง
ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับ
- ผู้ที่ไม่รู้สึกตัว หรือเป็นอัมพาต นอนอยู่ท่าเดียวเป็นเวลานานไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกาย
- ผู้มีการจำกัดการเคลื่อนไหว หรือจำกัดกิจกรรมเช่น ผู้ที่ใส่เฝือกหลังการผ่าตัดใหญ่
- ผู้ป่วยที่มีความเปียกชื้นจากเหงื่อ อุจจาระ หรือปัสสาวะราดบ่อย ส่งผลให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวมีสภาพเป็นด่าง ความสามารถในการต้านเชื้อโรคจากแบคทีเรียลดลง ทำให้เนื้อเยื่อได้รับการระคายเคือง เกิดการฉีกขาดได้ง่าย และเกิดแผลกดทับในที่สุด
- ภาวะขาดสารอาหาร ส่งผลให้มีระดับโปรตีนในเลือดน้อยกว่าปกติ ทำให้มีอาการบวมซึ่งเป็นตัวขัดขวางการไหลเวียนเลือดในการส่งอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์และเนื้อเยื่อ จึงเกิดแผลกดทับ เกิดแผลได้ง่าย และแผลจะหายช้า
- ผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อยหรือผอม ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น มีโอกาสเกิดแผลกดทับได้มากกว่า
- แรงกดและแรงเสียดทานทำให้เนื้อเยื่อเกิดการบาดเจ็บฉีกขาดได้ง่าย มักพบในรายที่เป็นอัมพาตต้องยกผู้ป่วยบ่อยจึงทำให้เกิดแผลกดทับได้ง่าย
- ภาวะไข้ อุณหภูมิร่างกายสูงเกิน 38 องศาเซลเซียส (Celsius) ทำให้มีการเผาผลาญอาหารมากขึ้น เป็นปัจจัยเสริมให้เซลล์และเนื้อเยื่อขาดเลือดและเนื้อเยื่อตายได้ง่าย
- ยิ่งอายุมากขึ้นหมายความว่า ร่างกายของเราจะฟื้นตัวได้ช้าลง จึงเพิ่มความรุนแรงของแผลกดทับ
ตำแหน่งที่เกิดแผลกดทับได้บ่อย
- ท่านอนหงาย : ท้ายทอย ใบหู ด้านหลังส่วนบน ก้นกบ ข้อศอก ส้นเท้า
- ท่านอนคว่ำ : ใบหูและแก้ม หน้าอกและใต้ราวนม หน้าท้อง หัวไหล่ ปุ่มกระดูกสะ โพก หัวเข่า ปลายเท้า
- ท่านอนตะแคง : ศีรษะด้านข้าง หัวไหล่ กระดูกก้นกบ ปุ่มกระดูกต้นขา ฝีเย็บ หัวเข่าด้านหน้า ตาตุ่ม
- ท่านั่ง : ก้นกบ ปุ่มกระดูกก้นกบ หัวเข่าด้านหน้า กระดูกสะบัก เท้า ข้อเท้าด้านนอก
ระดับความรุนแรงของแผลกดทับ
- ระดับที่ 1
ผิวหนังบริเวณที่ถูกกดทับจะเป็นรอยแดง ไม่มีรอยฉีกขาด แต่สีของผิวหนังอาจเป็นสีแดงคล้ำเพราะมีการคั่งของเลือดจากการกดทับ รอยแดงจะไม่หายไปภายใน 30 นาทีเมื่อเปลี่ยนท่า - ระดับที่ 2
มีการสูญเสียผิวหนังบางส่วนถึงชั้นหนังกำพร้า ผิวหนังอาจฉีกขาดหรือไม่ฉีกขาดเช่น รอยถลอก เป็นตุ่มพองอาจมีน้ำเหลืองบริเวณตุ่มน้ำที่แตกออกหรือเป็นแผลตื้นๆ โดยไม่มีเนื้อตาย - ระดับที่ 3
มีการสูญเสียผิวหนังทั้งหมด เกิดแผลลึกถึงชั้นใต้ผิวหนัง ชั้นพังผืด แต่ไม่ถึงชั้นกล้ามเนื้อ เอ็น และกระดูก อาจเป็นหลุมลึกหรือเป็นโพรงใต้ขอบแผลอาจพบเนื้อตายบางส่วนของแผล - ระดับที่ 4
มีการสูญเสียผิวหนังทั้งหมด มองเห็นชั้นกล้ามเนื้อ กระดูก เอ็น หรือเยื่อหุ้มข้อต่อ พื้นแผลอาจมีเนื้อตาย หรือสะเก็ดแข็งปกคลุมบางส่วน และส่วนใหญ่มีโพรงและช่องใต้ขอบแผล
การป้องกันและหลีกเลี่ยงการเกิดแผลกดทับ
- ควรเปลี่ยนท่านอนอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมงเพื่อลดแรงกด ทำให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น หมั่นตรวจสอบบริเวณที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับทุกวัน สังเกตรอยแดงของผิว หากมีรอยแดงถือว่ามีโอกาสเสี่ยงที่บริเวณดังกล่าวจะเกิดแผลกดทับ
- การใช้อุปกรณ์ลดแรงกด เช่น ที่นอนโฟม หรือที่นอนลม ในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีความเสี่ยง ใช้เบาะรองก้นในผู้ที่นั่งรถเข็น ยกก้นลอยพ้นพื้นที่นั่งทุก 15 – 30 นาที เพราะจะช่วยลดแรงกดทับบริเวณก้นกบ ใช้อุปกรณ์ช่วยในการเคลื่อนย้าย เช่น ผ้ายกตัว แผ่นรองตัวขณะเคลื่อนย้าย (Pat slide)
- หลีกเลี่ยงการใช้น้ำอุ่นหลังทำความสะอาดร่างกาย ควรทาครีม ทาโลชั่น หรือน้ำมันมะกอก วันละ 3 – 4 ครั้งเพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้นป้องกันผิวแห้งและฉีกขาด ผู้ที่ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ ควรทำความสะอาดทุกครั้งหลังการขับถ่ายและซับให้แห้ง พร้อมใช้ปิโตรเลียมเจลลี่ หรือวาสลีน (Vaseline) ทาหนาๆ บริเวณรอบๆ ปากทวารหนัก และแก้มก้นทั้ง 2 ข้าง เพื่อป้องกันการระคายผิวหนังจากความเปียกชื้น ในรายที่ไม่สามารถควบคุมการถ่ายอุจจาระควรใช้ แผ่นรองก้น (Blue pad) แทนการใช้ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ เพราะมีโอกาสเกิดการอับชื้นได้ง่ายและเกิดแผลกดทับตามมา
- ส่งเสริมการเคลื่อนไหวของร่างกายโดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- จัดสิ่งแวดล้อมเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ลดการอับชื้นของผิวหนัง
- ดูแลผ้าปูที่นอนให้สะอาดแห้งและเรียบตึงเสมอ เพื่อลดความเปียกชื้น และลดแรงเสียดทาน
- สวมใส่เสื้อผ้าที่พอดีไม่คับแน่นเกินไป จัดเสื้อผ้าให้เรียบ หลีกเลี่ยงการนอนทับตะเข็บเสื้อ และปมผูกต่างๆ เพื่อลดแรงกดบริเวณผิวหนัง
- เลือกอาหารเพื่อสุขภาพ ได้รับอาหารครบตามหลักโภชนาการ (อาหารมีประโยชน์ 5 หมู่) โดยเฉพาะโปรตีน วิตามินซี และดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 6 – 8 แก้วจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง และผิวหนังยืดหยุ่นมีความชุ่มชื้น